ไปเจอ บทความดีๆ ที่ "Mind Investing Blog" เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น Growth Stock ซึ่งเป็นกรณีศึกษา หุ้น JUBILE อ่านแล้วได้เป็นกระบวนการความคิดการเลือกหุ้น Growth Stock ได้ดีและเห็นภาพจริงๆ ครับ
สามารถอ่านบทความต้นฉบับได้ที่ http://pongsakorne.blogspot.com/2011/07/jubile.html
และยังมีบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจสามารถติดตามไปอ่านกันได้ครับ http://pongsakorne.blogspot.com/
กรณีศึกษา : หุ้น JUBILE
(คำเตือน ... ผมไม่ได้เชียร์หุ้นนะครับ เอามาเป็นกรณีศึกษาวิธีคิดเฉยๆ ซื้อตามอาจจะขาดทุนได้ครับ)
ผมนั่งคิดอยู่นานมากว่าจะแสดงวิธีคิดการวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวดีใหม? สรุปว่า... ลองดูก่อนละกัน ถ้ามีปัญหาก็จะเลิกทำ เพราะน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจวิธีการคิดวิเคราะห์การลงทุนในหุ้น เติบโต ทุกคนที่รู้จักผมจะรู้ดีว่า...ผมไม่เคยเชียร์หุ้นเลย ไม่ใช่เพราะหวงหรืออมภูมิอะไร ถ้ามีคนถามก็ผมจะบอกและต้องบอกเสมอว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง... ถ้าผมคิดว่า คนที่ถามหุ้นมีวิจารณญาณที่จะไม่ลอกโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองก่อนผมก็จะบอก หมด ...ที่ผมกลัวที่สุดคือเวลาคนซื้อตามแล้วขาดทุน เพราะงั้นคนที่ผมกล้าบอกหมดคือผมมั่นใจว่าเขาคิดเองเป็นรับผิดชอบการตัดสิน ใจของตัวเองได้ ยิ่งคนที่เห็นต่างสามารถหาเหตุผลเจ๋งๆมาแย้งได้ (ไม่ใช่แบบเถียงข้างๆคูๆนะครับ) ผมยิ่งชอบ Discuss ด้วย
คนที่ชอบเชียร์หุ้นที่ตัวเองถือมีมากมายเลยครับ ทั้งในเวปบอร์ดทั้งในชีวิตจริง หุ้นจะได้ขึ้นเร็วๆแรงๆแล้วคนตามไปทีหลังก็เจอดอยกันไป ซึ่งเป็นวิธีที่ผมไม่ชอบมากๆเลยครับ (ซึ่งคนเก่งๆหลายคนไม่เชียร์หุ้นก็ยังประสบความสำเร็จกันได้ครับ) ผมไม่เชียร์หุ้นซักคนวงการหุ้นก็คงจะไม่เป็นไร เพราะการถือหุ้นเติบโตหวังการขึ้นของราคาจากการเติบโตธุรกิจที่ส่งผลต่อการ เติบโตของกำไร และผมชอบสอนวิธีคิดมากกว่าครับ
เริ่มกันเลยนะครับ...
การวิเคราะห์หุ้นของผมจะเน้นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณนะครับ เพราะผมคิดว่าปัจจัยเชิงคุณภาพบอกอนาคตได้ดีกว่า ขณะที่ตัวเลขทางการเงินจะบอกได้แค่อดีตกับปัจจุบันซึ่งเอาไว้ใช้ตรวจสอบ สมมุติฐานของเราเท่านั้น
Jubile เป็นตัวที่ได้ผลตอบแทนน้อยที่สุดในพอร์ตเมื่อปีที่ผ่านมา (ได้มาประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล) แต่ถ้าบริษัทยังมีการเติบโตอยู่ผมก็ถือต่อไป แล้วปีนี้ Jubile กลายเป็นหุ้นที่ performance ดีที่สุดในพอร์ต (มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล) (ต่อให้ราคาถึง Full-Valued ของปีนี้ผมก็ยังถือต่อไป จนกว่าจะถึงราคาที่เป็น room of growth ของบริษัท – ลองอ่านในบทความ ”เพดานของการเติบโต” ได้ครับ)
นั่งเปิดสมุดที่เขียนสิ่งผมได้คิดวิเคราะห์ลงไปก่อนซื้อหุ้น...
คิดอะไรอยู่ตอนซื้อหุ้น? (ตอนกลางปี 53)
เพราะผู้บริหาร(คุณอัญ)สวย...เอ๊ยยยย... ม่ายช่ายยยย >_<
ซื้อเพราะ JUBILE เป็น growth stock ที่น่าสนใจ สามารถเติบโตได้ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอย่างน้อยอีก 3 ปี ราคาถูก (ผมซื้อตอน 3 บาทต้นๆ) PE น้อยกว่าอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างมาก
ลักษณะการทำธุรกิจ
การค้าปลีกเพชร โดยมีการนำเข้าวัตถุดิบเพชรจากเบลเยียม และนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและ design โดยทาง Jubile เอง และขายผ่านร้านค้า (ทั้งร้านและเคาเตอร์ตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ)
สินค้า
เพชร - เครื่องประดับเพชร, เพชรกะรัต, เพชรร่วง (End product)
ใครคือลูกค้า?
ผู้หญิงวัยทำงาน, คู่รักที่กำลังจะหมั้นหรือแต่งงาน
การที่ผู้หญิงเป็นลูกค้าหลัก เข้าได้แนวโน้มใหญ่ในปัจจุบัน (Megatrend) – Female economy ที่ผู้หญิงมีกำลังซื้อสูงขึ้นจากการทำงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ ไม่ได้พึ่งผู้ชายในการเลี้ยงดูเหมือนเมื่อก่อน รวมถึงผู้หญิงอยู่เป็นโสดมากขึ้นย่อมซื้อของให้ตนเองมากขึ้น และเพชรเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมานาน ธุรกิจเพชรจึงมีแนวโน้มเติบโตไปตามกำลังซื้อของผู้หญิง รวมถึงคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกัน
แล้วทำไมไม่ซื้อ PRANDA ในตอนนั้น? (ปี 53)
1. PRANDA รายได้โตช้า โดยเฉลี่ยเป็น 1 digit พอๆกับหรือต่ำกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวม
2. Forex risk ...ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากรายได้ PRANDA มาจากการขายสินค้าแบบ
ส่งออก คือ ขายได้เงิน USD แต่ค่าใช้จ่ายโดยส่วนใหญ่เป็นเงินบาท (จาการผลิตในประเทศ) เมื่อเงินบาทแข็งจากทุนต่างประเทศไหลเข้า ทำให้บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้ลดลงแต่รายจ่ายเท่าเดิมทำให้กำไรลดลงหรือขาดทุนจากค่าเงินได้ครับ
PRANDA เป็นหุ้นที่ดีครับ เพียงแต่อัตราการเติบโตยังไม่น่าสนใจสำหรับผมเท่านั้นเอง
ที่มาของการเติบโต
1. การเติบโตจากรายได้ต่อสาขาเดิม (Same store sales growth)
2. การเติบตาจากการขยายสาขาทั้งร้าน (Shop) และ เคาเตอร์เพชร (Retail growth), รวมถึงการเช่าซื้อ (leasing)
3. การเติบโตที่มาจากการปรับตัวของราคาเพชร (Price growth)
ซึ่งการเติบโตที่ผมหวังมากที่สุดคือการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิม เนื่องจาก...
1.ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค้มค่าเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด
2. เพชรเป็นสินค้าราคาแพง ดังนั้นคนที่จะซื้อเพชรคงคิดและเลือกอย่างดีก่อนจะซื้อ ความสะดวกคงไม่ใช่ปัจจัยหลัก (กรณี - ร้านสะดวกซื้อ การขยายสาขาให้มากที่สุดจะดีเพราะจุดแข็งของร้านค้าปลีกคือความสะดวกในการ เข้าถึงของลูกค้าครับ) ...แต่การขยายสาขาก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำโดยควรจะขยายไปตามหัวเมืองใหญ่ๆก่อน เพื่อสร้าง brand recognition ให้ลูกค้าได้รับรู้จากการพบเห็น ซึ่งหลังจากสินค้าเป็นที่นิยมแล้ว การขยายสาขาเพื่อเติมเต็ม demand ส่วนที่เหลือจะทำได้ง่ายขึ้นครับ
จุดแข็ง
1. การที่ยูบิลลี่เน้นสร้าง brand มากกว่าจะใช้สงครามราคา (price war) เหมือนเคาเตอร์เพชรรายอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่ม market share มากกว่าในระยะยาว รวมถึงการตั้งราคาได้สูงกว่าทำให้รายได้เพิ่มและรักษา gross margin ไว้ได้
2. การต่อรองราคาวัตถุดิบกับ supplier ที่เบลเยี่ยม (เข้าใจว่าเนื่องจากสายสัมพันธ์ที่ค้าขายมานาน) ทำให้ต้นทุนไม่สูงขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำตอนปี 52 บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้
3. การที่เพชรมีใบ certificated ของ HRD ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าสินค้ามีคุณภาพ และการขายสินค้าต่อก็ทำได้ง่าย ลูกค้าจะกล้าซื้อ
4. การออก New product ที่โดนใจลูกค้าทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ทันที ซึ่งส่งผลต่อ inventory turnover ที่เร็วขึ้น ทำให้เพิ่มยอดขายได้จากจำนวนรอบ เงินไม่จมอยู่ใน inventory มากนัก รวมถึงการขยันทำ Sale event
(ปล. ขยายความข้อ 4 - ปกติแล้วพวกค้าปลีกทั่วไปมักจะมี gross profit margin และ net profit margin ไม่สูง แต่อาศัย turnover rate ที่สูงเพื่อเพิ่มยอดขายทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้น – พูดง่ายๆคือ กำไรไม่เยอะเน้นขายได้เยอะๆไว้ก่อน
แต่กรณียูบิลลี่เป็นร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าราคาแพง การเน้น gross profit margin สูงๆ จะเป็นจุดเด่นของร้านค้าปลีกของกลุ่มสินค้าราคาแพง - พูดง่ายๆคือ ขายเรื่อยๆแต่กำไรดีมาก ...ซึ่งการที่ยูบิลลี่เน้นการเพิ่ม turnover ของ inventory ยิ่งทำให้ดีขึ้นไปอีก)
5. กระแสเงินสดดีมาก เนื่องจากสินค้าส่วนใหญขายเป็นเงินสด (ลูกค้ารายบุคคล) แต่เวลารับสินค้าจาก supplier มาผลิตได้เป็น credit-เจ้าหนี้การค้า โดยมีระยะเวลา credit term 90-120 วัน แต่การผลิตสินค้าใช้เวลาเพียง 30-60 วัน จึงมีช่องว่างในการขายเพื่อนำเงินไปจ่าย credit
การที่กระแสเงินสดดีทำให้ มีเงินสดมากและนำไปลงทุนต่อได้ เช่น การขยายสาขา หรือนำเงินจ่ายคืนผู้ถือหุ้นได้ (บ.จ่าย 60 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิครับ)
6. จำนวนสาขาทิ้งห่างอันดับ 2 ที่เป็นเคาเตอร์เพชรแบบเดียวกันค่อนข้างมาก
จุดอ่อน
1.การแข่งขันสูงมาก - ข้อนี้สำคัญที่สุด!!! ในช่วงแรกที่ผมยังชะลอการลงทุนอยู่เพราะการแข่งขันสูงในตลาดเพชร มีผู้เล่นมากมายในวงการอัญณีและเครื่องประดับเพชร ซึ่งบริษัทที่อยู่นอกตลาดจะได้ประโยชน์กว่าในการปลอมบัญชีให้มีกำไรสุทธิ น้อยๆเพื่อเสียภาษีให้น้อย แต่จริงจะได้กำไรมากกว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องเปิดเผยตัวเลข ทุกอย่างต่อสาธารณชน
ดังนั้นถ้าเป็นการแข่งขันด้านราคา บริษัทจะเสียเปรียบมาก
ซึ่งการสร้าง brand จะเข้ามาปิดจุดอ่อนนี้
2. อัตราการซื้อซ้ำไม่สูง – เพชรจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เราคงไม่ได้ซื้อเพชรทุกวันหรือทุกเดือน ไม่เหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ตลอด ดังนั้นอัตราการซื้อซ้ำจะไม่สูง คนที่ซื้อซ้ำบ่อยๆส่วนใหญ่จะเป็นคนมีฐานะหรือคนที่ชอบเพชรมากจริงๆ (จริงๆผู้หญิงก็ชอบเพชรเกือบทุกคน)
อัตราการซื้อซ้ำอยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการสร้าง brand ที่ดีจะทำให้ลูกค้าภักดีต่อ brand เดิม ถ้ามีการซื้อซ้ำโอกาสซื้อกับเจ้าเดิมมีสูง
3. ธุรกิจเก่า – ธุรกิจเพชร อัญมณีจัดว่าเป็นธุรกิจโบราณที่มีมานาน อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวมจะไม่สูงเมื่อเทียบกับธุรกิจใหม่ๆ
การบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันจะทำให้แย่ง market share ซึ่งส่งผลให้เติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม
โอกาส
1. ทองราคาสูงขึ้น คนหันมาซื้อเพชรมากขึ้น โดยคนมองเป็นการลงทุนจากเดิมมองแต่ว่าเป็นเครื่องประดับ และสินค้าเพชรไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา
2. การเข้าตลาดของ Jubile ทำให้คนรู้จัก brand มากขึ้น และขายได้มากขึ้น เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนก็มีแต่คนมีฐานะดี จึงเป็นการโฆษณาไปโดยปริยาย รวมถึงการที่คุณอัญ CFO คนสวยของบริษัททายาทรุ่นที่ 4 เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักลงทุนยิ่งเป็นการโฆษณ brand ได้เป็นอย่างดี
3. ค่าเงินบาทแข็งจะทำให้ต้นทุนสินค้า เพชรที่นำเข้าเมื่อคิดเป็นเงินบาทราคาถูกลง ต้นทุนจะลดลงและกำไรเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยง
1. การถูกขโมย ถูกปล้น เนื่องจากสินค้าชิ้นเล็กและมีราคาแพงมาก – จุดนี้ Jubile จะมีการทำประกันสินค้าไว้
2. การที่วัตถุดิบขึ้นราคาเนื่องจากมีความต้องการเพชรในตลาดโลกสูงขึ้น ต้นทุนเพชรจะสูงขึ้นและกำไรลดลงในที่สุด – จุดนี้ Jubile รับมือโดยต่อรองกับ supplier ที่เบลเยียมได้ รวมถึงการสร้าง brand ที่ทำให้ตั้งราคาขายได้สูง
3. การประเมินราคา inventory ที่ค่อนข้าง subjective – ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือของธรรมาภิบาลผู้บริหาร
4. ความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน - ค่าเงินผันผวนจะทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ซึ่งบริษัทใช้วิธีแก้โดยทำ forward contact ค่าเงิน แต่ช่วงที่เงินบาทแข็งก็ปล่อยให้แข็งค่าไป
5. กระทบได้ง่ายมากถ้าเศรษฐกิจโดยรวมมีปัญหา เพราะเพชรเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจะเป็นสินค้าที่คนจะหยุดซื้อเพื่อประหยัดก่อนสินค้าอื่น
ROOM OF GROWTH
มี 2 สมมุติฐาน
1. โตได้แต่ในประเทศ
2. สามารถขยายออกไปต่างประเทศได้
สรุป...หุ้น Jubile มี 3 คุณสมบัติของหุ้น growth ที่ผมชอบคือ 1. Growth story โตได้ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี 2. มีความสามารถในการแข่งขัน (DCA) – (กรณีนี้คือไม่ใช่ low competition) 3. Good cash flow
ลองอ่านบทความ แนวทางการลงทุนของผม (ทั้ง 3 ตอน) และเพดานของการเติบโตไปด้วยจะเข้าใจมากขึ้นครับ
วิเคราะห์ให้ฟังเท่านี้ก่อนละกันครับ ฝึกเยอะๆนะครับจะได้เก่งๆครับ
ผมนั่งคิดอยู่นานมากว่าจะแสดงวิธีคิดการวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวดีใหม? สรุปว่า... ลองดูก่อนละกัน ถ้ามีปัญหาก็จะเลิกทำ เพราะน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจวิธีการคิดวิเคราะห์การลงทุนในหุ้น เติบโต ทุกคนที่รู้จักผมจะรู้ดีว่า...ผมไม่เคยเชียร์หุ้นเลย ไม่ใช่เพราะหวงหรืออมภูมิอะไร ถ้ามีคนถามก็ผมจะบอกและต้องบอกเสมอว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง... ถ้าผมคิดว่า คนที่ถามหุ้นมีวิจารณญาณที่จะไม่ลอกโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองก่อนผมก็จะบอก หมด ...ที่ผมกลัวที่สุดคือเวลาคนซื้อตามแล้วขาดทุน เพราะงั้นคนที่ผมกล้าบอกหมดคือผมมั่นใจว่าเขาคิดเองเป็นรับผิดชอบการตัดสิน ใจของตัวเองได้ ยิ่งคนที่เห็นต่างสามารถหาเหตุผลเจ๋งๆมาแย้งได้ (ไม่ใช่แบบเถียงข้างๆคูๆนะครับ) ผมยิ่งชอบ Discuss ด้วย
คนที่ชอบเชียร์หุ้นที่ตัวเองถือมีมากมายเลยครับ ทั้งในเวปบอร์ดทั้งในชีวิตจริง หุ้นจะได้ขึ้นเร็วๆแรงๆแล้วคนตามไปทีหลังก็เจอดอยกันไป ซึ่งเป็นวิธีที่ผมไม่ชอบมากๆเลยครับ (ซึ่งคนเก่งๆหลายคนไม่เชียร์หุ้นก็ยังประสบความสำเร็จกันได้ครับ) ผมไม่เชียร์หุ้นซักคนวงการหุ้นก็คงจะไม่เป็นไร เพราะการถือหุ้นเติบโตหวังการขึ้นของราคาจากการเติบโตธุรกิจที่ส่งผลต่อการ เติบโตของกำไร และผมชอบสอนวิธีคิดมากกว่าครับ
เริ่มกันเลยนะครับ...
การวิเคราะห์หุ้นของผมจะเน้นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณนะครับ เพราะผมคิดว่าปัจจัยเชิงคุณภาพบอกอนาคตได้ดีกว่า ขณะที่ตัวเลขทางการเงินจะบอกได้แค่อดีตกับปัจจุบันซึ่งเอาไว้ใช้ตรวจสอบ สมมุติฐานของเราเท่านั้น
Jubile เป็นตัวที่ได้ผลตอบแทนน้อยที่สุดในพอร์ตเมื่อปีที่ผ่านมา (ได้มาประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล) แต่ถ้าบริษัทยังมีการเติบโตอยู่ผมก็ถือต่อไป แล้วปีนี้ Jubile กลายเป็นหุ้นที่ performance ดีที่สุดในพอร์ต (มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล) (ต่อให้ราคาถึง Full-Valued ของปีนี้ผมก็ยังถือต่อไป จนกว่าจะถึงราคาที่เป็น room of growth ของบริษัท – ลองอ่านในบทความ ”เพดานของการเติบโต” ได้ครับ)
นั่งเปิดสมุดที่เขียนสิ่งผมได้คิดวิเคราะห์ลงไปก่อนซื้อหุ้น...
คิดอะไรอยู่ตอนซื้อหุ้น? (ตอนกลางปี 53)
เพราะผู้บริหาร(คุณอัญ)สวย...เอ๊ยยยย... ม่ายช่ายยยย >_<
ซื้อเพราะ JUBILE เป็น growth stock ที่น่าสนใจ สามารถเติบโตได้ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอย่างน้อยอีก 3 ปี ราคาถูก (ผมซื้อตอน 3 บาทต้นๆ) PE น้อยกว่าอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างมาก
ลักษณะการทำธุรกิจ
การค้าปลีกเพชร โดยมีการนำเข้าวัตถุดิบเพชรจากเบลเยียม และนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและ design โดยทาง Jubile เอง และขายผ่านร้านค้า (ทั้งร้านและเคาเตอร์ตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ)
สินค้า
เพชร - เครื่องประดับเพชร, เพชรกะรัต, เพชรร่วง (End product)
ใครคือลูกค้า?
ผู้หญิงวัยทำงาน, คู่รักที่กำลังจะหมั้นหรือแต่งงาน
การที่ผู้หญิงเป็นลูกค้าหลัก เข้าได้แนวโน้มใหญ่ในปัจจุบัน (Megatrend) – Female economy ที่ผู้หญิงมีกำลังซื้อสูงขึ้นจากการทำงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ ไม่ได้พึ่งผู้ชายในการเลี้ยงดูเหมือนเมื่อก่อน รวมถึงผู้หญิงอยู่เป็นโสดมากขึ้นย่อมซื้อของให้ตนเองมากขึ้น และเพชรเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมานาน ธุรกิจเพชรจึงมีแนวโน้มเติบโตไปตามกำลังซื้อของผู้หญิง รวมถึงคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกัน
แล้วทำไมไม่ซื้อ PRANDA ในตอนนั้น? (ปี 53)
1. PRANDA รายได้โตช้า โดยเฉลี่ยเป็น 1 digit พอๆกับหรือต่ำกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวม
2. Forex risk ...ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากรายได้ PRANDA มาจากการขายสินค้าแบบ
ส่งออก คือ ขายได้เงิน USD แต่ค่าใช้จ่ายโดยส่วนใหญ่เป็นเงินบาท (จาการผลิตในประเทศ) เมื่อเงินบาทแข็งจากทุนต่างประเทศไหลเข้า ทำให้บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้ลดลงแต่รายจ่ายเท่าเดิมทำให้กำไรลดลงหรือขาดทุนจากค่าเงินได้ครับ
PRANDA เป็นหุ้นที่ดีครับ เพียงแต่อัตราการเติบโตยังไม่น่าสนใจสำหรับผมเท่านั้นเอง
ที่มาของการเติบโต
1. การเติบโตจากรายได้ต่อสาขาเดิม (Same store sales growth)
2. การเติบตาจากการขยายสาขาทั้งร้าน (Shop) และ เคาเตอร์เพชร (Retail growth), รวมถึงการเช่าซื้อ (leasing)
3. การเติบโตที่มาจากการปรับตัวของราคาเพชร (Price growth)
ซึ่งการเติบโตที่ผมหวังมากที่สุดคือการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิม เนื่องจาก...
1.ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค้มค่าเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด
2. เพชรเป็นสินค้าราคาแพง ดังนั้นคนที่จะซื้อเพชรคงคิดและเลือกอย่างดีก่อนจะซื้อ ความสะดวกคงไม่ใช่ปัจจัยหลัก (กรณี - ร้านสะดวกซื้อ การขยายสาขาให้มากที่สุดจะดีเพราะจุดแข็งของร้านค้าปลีกคือความสะดวกในการ เข้าถึงของลูกค้าครับ) ...แต่การขยายสาขาก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำโดยควรจะขยายไปตามหัวเมืองใหญ่ๆก่อน เพื่อสร้าง brand recognition ให้ลูกค้าได้รับรู้จากการพบเห็น ซึ่งหลังจากสินค้าเป็นที่นิยมแล้ว การขยายสาขาเพื่อเติมเต็ม demand ส่วนที่เหลือจะทำได้ง่ายขึ้นครับ
จุดแข็ง
1. การที่ยูบิลลี่เน้นสร้าง brand มากกว่าจะใช้สงครามราคา (price war) เหมือนเคาเตอร์เพชรรายอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่ม market share มากกว่าในระยะยาว รวมถึงการตั้งราคาได้สูงกว่าทำให้รายได้เพิ่มและรักษา gross margin ไว้ได้
2. การต่อรองราคาวัตถุดิบกับ supplier ที่เบลเยี่ยม (เข้าใจว่าเนื่องจากสายสัมพันธ์ที่ค้าขายมานาน) ทำให้ต้นทุนไม่สูงขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำตอนปี 52 บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้
3. การที่เพชรมีใบ certificated ของ HRD ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าสินค้ามีคุณภาพ และการขายสินค้าต่อก็ทำได้ง่าย ลูกค้าจะกล้าซื้อ
4. การออก New product ที่โดนใจลูกค้าทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ทันที ซึ่งส่งผลต่อ inventory turnover ที่เร็วขึ้น ทำให้เพิ่มยอดขายได้จากจำนวนรอบ เงินไม่จมอยู่ใน inventory มากนัก รวมถึงการขยันทำ Sale event
(ปล. ขยายความข้อ 4 - ปกติแล้วพวกค้าปลีกทั่วไปมักจะมี gross profit margin และ net profit margin ไม่สูง แต่อาศัย turnover rate ที่สูงเพื่อเพิ่มยอดขายทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้น – พูดง่ายๆคือ กำไรไม่เยอะเน้นขายได้เยอะๆไว้ก่อน
แต่กรณียูบิลลี่เป็นร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าราคาแพง การเน้น gross profit margin สูงๆ จะเป็นจุดเด่นของร้านค้าปลีกของกลุ่มสินค้าราคาแพง - พูดง่ายๆคือ ขายเรื่อยๆแต่กำไรดีมาก ...ซึ่งการที่ยูบิลลี่เน้นการเพิ่ม turnover ของ inventory ยิ่งทำให้ดีขึ้นไปอีก)
5. กระแสเงินสดดีมาก เนื่องจากสินค้าส่วนใหญขายเป็นเงินสด (ลูกค้ารายบุคคล) แต่เวลารับสินค้าจาก supplier มาผลิตได้เป็น credit-เจ้าหนี้การค้า โดยมีระยะเวลา credit term 90-120 วัน แต่การผลิตสินค้าใช้เวลาเพียง 30-60 วัน จึงมีช่องว่างในการขายเพื่อนำเงินไปจ่าย credit
การที่กระแสเงินสดดีทำให้ มีเงินสดมากและนำไปลงทุนต่อได้ เช่น การขยายสาขา หรือนำเงินจ่ายคืนผู้ถือหุ้นได้ (บ.จ่าย 60 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิครับ)
6. จำนวนสาขาทิ้งห่างอันดับ 2 ที่เป็นเคาเตอร์เพชรแบบเดียวกันค่อนข้างมาก
จุดอ่อน
1.การแข่งขันสูงมาก - ข้อนี้สำคัญที่สุด!!! ในช่วงแรกที่ผมยังชะลอการลงทุนอยู่เพราะการแข่งขันสูงในตลาดเพชร มีผู้เล่นมากมายในวงการอัญณีและเครื่องประดับเพชร ซึ่งบริษัทที่อยู่นอกตลาดจะได้ประโยชน์กว่าในการปลอมบัญชีให้มีกำไรสุทธิ น้อยๆเพื่อเสียภาษีให้น้อย แต่จริงจะได้กำไรมากกว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องเปิดเผยตัวเลข ทุกอย่างต่อสาธารณชน
ดังนั้นถ้าเป็นการแข่งขันด้านราคา บริษัทจะเสียเปรียบมาก
ซึ่งการสร้าง brand จะเข้ามาปิดจุดอ่อนนี้
2. อัตราการซื้อซ้ำไม่สูง – เพชรจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เราคงไม่ได้ซื้อเพชรทุกวันหรือทุกเดือน ไม่เหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ตลอด ดังนั้นอัตราการซื้อซ้ำจะไม่สูง คนที่ซื้อซ้ำบ่อยๆส่วนใหญ่จะเป็นคนมีฐานะหรือคนที่ชอบเพชรมากจริงๆ (จริงๆผู้หญิงก็ชอบเพชรเกือบทุกคน)
อัตราการซื้อซ้ำอยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการสร้าง brand ที่ดีจะทำให้ลูกค้าภักดีต่อ brand เดิม ถ้ามีการซื้อซ้ำโอกาสซื้อกับเจ้าเดิมมีสูง
3. ธุรกิจเก่า – ธุรกิจเพชร อัญมณีจัดว่าเป็นธุรกิจโบราณที่มีมานาน อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวมจะไม่สูงเมื่อเทียบกับธุรกิจใหม่ๆ
การบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันจะทำให้แย่ง market share ซึ่งส่งผลให้เติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม
โอกาส
1. ทองราคาสูงขึ้น คนหันมาซื้อเพชรมากขึ้น โดยคนมองเป็นการลงทุนจากเดิมมองแต่ว่าเป็นเครื่องประดับ และสินค้าเพชรไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา
2. การเข้าตลาดของ Jubile ทำให้คนรู้จัก brand มากขึ้น และขายได้มากขึ้น เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนก็มีแต่คนมีฐานะดี จึงเป็นการโฆษณาไปโดยปริยาย รวมถึงการที่คุณอัญ CFO คนสวยของบริษัททายาทรุ่นที่ 4 เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักลงทุนยิ่งเป็นการโฆษณ brand ได้เป็นอย่างดี
3. ค่าเงินบาทแข็งจะทำให้ต้นทุนสินค้า เพชรที่นำเข้าเมื่อคิดเป็นเงินบาทราคาถูกลง ต้นทุนจะลดลงและกำไรเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยง
1. การถูกขโมย ถูกปล้น เนื่องจากสินค้าชิ้นเล็กและมีราคาแพงมาก – จุดนี้ Jubile จะมีการทำประกันสินค้าไว้
2. การที่วัตถุดิบขึ้นราคาเนื่องจากมีความต้องการเพชรในตลาดโลกสูงขึ้น ต้นทุนเพชรจะสูงขึ้นและกำไรลดลงในที่สุด – จุดนี้ Jubile รับมือโดยต่อรองกับ supplier ที่เบลเยียมได้ รวมถึงการสร้าง brand ที่ทำให้ตั้งราคาขายได้สูง
3. การประเมินราคา inventory ที่ค่อนข้าง subjective – ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือของธรรมาภิบาลผู้บริหาร
4. ความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน - ค่าเงินผันผวนจะทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ซึ่งบริษัทใช้วิธีแก้โดยทำ forward contact ค่าเงิน แต่ช่วงที่เงินบาทแข็งก็ปล่อยให้แข็งค่าไป
5. กระทบได้ง่ายมากถ้าเศรษฐกิจโดยรวมมีปัญหา เพราะเพชรเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจะเป็นสินค้าที่คนจะหยุดซื้อเพื่อประหยัดก่อนสินค้าอื่น
ROOM OF GROWTH
มี 2 สมมุติฐาน
1. โตได้แต่ในประเทศ
2. สามารถขยายออกไปต่างประเทศได้
สรุป...หุ้น Jubile มี 3 คุณสมบัติของหุ้น growth ที่ผมชอบคือ 1. Growth story โตได้ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี 2. มีความสามารถในการแข่งขัน (DCA) – (กรณีนี้คือไม่ใช่ low competition) 3. Good cash flow
ลองอ่านบทความ แนวทางการลงทุนของผม (ทั้ง 3 ตอน) และเพดานของการเติบโตไปด้วยจะเข้าใจมากขึ้นครับ
วิเคราะห์ให้ฟังเท่านี้ก่อนละกันครับ ฝึกเยอะๆนะครับจะได้เก่งๆครับ

COMMENTS