ไปเจอ บทความดีๆ ที่ "Mind Investing Blog" เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น Growth Stock ซึ่งเป็นกรณีศึกษา หุ้น JUBILE อ่านแล้วได้เป็นกระบวนการความคิดการเลือกหุ้น Growth Stock ได้ดีและเห็นภาพจริงๆ ครับ

สามารถอ่านบทความต้นฉบับได้ที่ http://pongsakorne.blogspot.com/2011/07/jubile.html
และยังมีบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจสามารถติดตามไปอ่านกันได้ครับ http://pongsakorne.blogspot.com/

 กรณีศึกษา : หุ้น JUBILE


(คำเตือน ... ผมไม่ได้เชียร์หุ้นนะครับ  เอามาเป็นกรณีศึกษาวิธีคิดเฉยๆ  ซื้อตามอาจจะขาดทุนได้ครับ)

ผมนั่งคิดอยู่นานมากว่าจะแสดงวิธีคิดการวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวดีใหม?  สรุปว่า... ลองดูก่อนละกัน  ถ้ามีปัญหาก็จะเลิกทำ  เพราะน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจวิธีการคิดวิเคราะห์การลงทุนในหุ้น เติบโต  ทุกคนที่รู้จักผมจะรู้ดีว่า...ผมไม่เคยเชียร์หุ้นเลย ไม่ใช่เพราะหวงหรืออมภูมิอะไร  ถ้ามีคนถามก็ผมจะบอกและต้องบอกเสมอว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง... ถ้าผมคิดว่า คนที่ถามหุ้นมีวิจารณญาณที่จะไม่ลอกโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองก่อนผมก็จะบอก หมด ...ที่ผมกลัวที่สุดคือเวลาคนซื้อตามแล้วขาดทุน  เพราะงั้นคนที่ผมกล้าบอกหมดคือผมมั่นใจว่าเขาคิดเองเป็นรับผิดชอบการตัดสิน ใจของตัวเองได้  ยิ่งคนที่เห็นต่างสามารถหาเหตุผลเจ๋งๆมาแย้งได้ (ไม่ใช่แบบเถียงข้างๆคูๆนะครับ) ผมยิ่งชอบ Discuss ด้วย

คนที่ชอบเชียร์หุ้นที่ตัวเองถือมีมากมายเลยครับ  ทั้งในเวปบอร์ดทั้งในชีวิตจริง  หุ้นจะได้ขึ้นเร็วๆแรงๆแล้วคนตามไปทีหลังก็เจอดอยกันไป  ซึ่งเป็นวิธีที่ผมไม่ชอบมากๆเลยครับ  (ซึ่งคนเก่งๆหลายคนไม่เชียร์หุ้นก็ยังประสบความสำเร็จกันได้ครับ) ผมไม่เชียร์หุ้นซักคนวงการหุ้นก็คงจะไม่เป็นไร  เพราะการถือหุ้นเติบโตหวังการขึ้นของราคาจากการเติบโตธุรกิจที่ส่งผลต่อการ เติบโตของกำไร  และผมชอบสอนวิธีคิดมากกว่าครับ 

เริ่มกันเลยนะครับ...

การวิเคราะห์หุ้นของผมจะเน้นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณนะครับ  เพราะผมคิดว่าปัจจัยเชิงคุณภาพบอกอนาคตได้ดีกว่า  ขณะที่ตัวเลขทางการเงินจะบอกได้แค่อดีตกับปัจจุบันซึ่งเอาไว้ใช้ตรวจสอบ สมมุติฐานของเราเท่านั้น

Jubile  เป็นตัวที่ได้ผลตอบแทนน้อยที่สุดในพอร์ตเมื่อปีที่ผ่านมา  (ได้มาประมาณ  90 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล)  แต่ถ้าบริษัทยังมีการเติบโตอยู่ผมก็ถือต่อไป แล้วปีนี้  Jubile กลายเป็นหุ้นที่ performance ดีที่สุดในพอร์ต (มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล)  (ต่อให้ราคาถึง Full-Valued ของปีนี้ผมก็ยังถือต่อไป  จนกว่าจะถึงราคาที่เป็น  room of growth  ของบริษัท – ลองอ่านในบทความ ”เพดานของการเติบโต” ได้ครับ)

นั่งเปิดสมุดที่เขียนสิ่งผมได้คิดวิเคราะห์ลงไปก่อนซื้อหุ้น...

คิดอะไรอยู่ตอนซื้อหุ้น? (ตอนกลางปี 53)

เพราะผู้บริหาร(คุณอัญ)สวย...เอ๊ยยยย... ม่ายช่ายยยย >_<

ซื้อเพราะ JUBILE  เป็น growth stock  ที่น่าสนใจ  สามารถเติบโตได้  20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอย่างน้อยอีก 3 ปี ราคาถูก (ผมซื้อตอน 3 บาทต้นๆ)  PE  น้อยกว่าอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างมาก

ลักษณะการทำธุรกิจ

การค้าปลีกเพชร  โดยมีการนำเข้าวัตถุดิบเพชรจากเบลเยียม  และนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและ design โดยทาง Jubile เอง  และขายผ่านร้านค้า (ทั้งร้านและเคาเตอร์ตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ)

สินค้า

เพชร - เครื่องประดับเพชร,  เพชรกะรัต, เพชรร่วง  (End product)

ใครคือลูกค้า?

ผู้หญิงวัยทำงาน,  คู่รักที่กำลังจะหมั้นหรือแต่งงาน

การที่ผู้หญิงเป็นลูกค้าหลัก  เข้าได้แนวโน้มใหญ่ในปัจจุบัน  (Megatrend) – Female economy  ที่ผู้หญิงมีกำลังซื้อสูงขึ้นจากการทำงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ  ไม่ได้พึ่งผู้ชายในการเลี้ยงดูเหมือนเมื่อก่อน  รวมถึงผู้หญิงอยู่เป็นโสดมากขึ้นย่อมซื้อของให้ตนเองมากขึ้น  และเพชรเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมานาน  ธุรกิจเพชรจึงมีแนวโน้มเติบโตไปตามกำลังซื้อของผู้หญิง  รวมถึงคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกัน

แล้วทำไมไม่ซื้อ PRANDA ในตอนนั้น? (ปี 53)

1. PRANDA  รายได้โตช้า  โดยเฉลี่ยเป็น 1 digit  พอๆกับหรือต่ำกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวม

2. Forex risk  ...ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า  เนื่องจากรายได้  PRANDA  มาจากการขายสินค้าแบบ
ส่งออก  คือ ขายได้เงิน USD แต่ค่าใช้จ่ายโดยส่วนใหญ่เป็นเงินบาท (จาการผลิตในประเทศ)  เมื่อเงินบาทแข็งจากทุนต่างประเทศไหลเข้า  ทำให้บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน  และรายได้ลดลงแต่รายจ่ายเท่าเดิมทำให้กำไรลดลงหรือขาดทุนจากค่าเงินได้ครับ

PRANDA เป็นหุ้นที่ดีครับ เพียงแต่อัตราการเติบโตยังไม่น่าสนใจสำหรับผมเท่านั้นเอง

ที่มาของการเติบโต

1. การเติบโตจากรายได้ต่อสาขาเดิม  (Same store sales growth)

2. การเติบตาจากการขยายสาขาทั้งร้าน  (Shop) และ เคาเตอร์เพชร  (Retail  growth), รวมถึงการเช่าซื้อ (leasing)

3. การเติบโตที่มาจากการปรับตัวของราคาเพชร  (Price growth)

ซึ่งการเติบโตที่ผมหวังมากที่สุดคือการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิม  เนื่องจาก...

1.ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค้มค่าเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด

2. เพชรเป็นสินค้าราคาแพง  ดังนั้นคนที่จะซื้อเพชรคงคิดและเลือกอย่างดีก่อนจะซื้อ  ความสะดวกคงไม่ใช่ปัจจัยหลัก   (กรณี - ร้านสะดวกซื้อ  การขยายสาขาให้มากที่สุดจะดีเพราะจุดแข็งของร้านค้าปลีกคือความสะดวกในการ เข้าถึงของลูกค้าครับ) ...แต่การขยายสาขาก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำโดยควรจะขยายไปตามหัวเมืองใหญ่ๆก่อน เพื่อสร้าง  brand  recognition  ให้ลูกค้าได้รับรู้จากการพบเห็น  ซึ่งหลังจากสินค้าเป็นที่นิยมแล้ว  การขยายสาขาเพื่อเติมเต็ม  demand  ส่วนที่เหลือจะทำได้ง่ายขึ้นครับ

จุดแข็ง

1. การที่ยูบิลลี่เน้นสร้าง brand  มากกว่าจะใช้สงครามราคา (price war) เหมือนเคาเตอร์เพชรรายอื่นๆ  ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่ม  market share มากกว่าในระยะยาว  รวมถึงการตั้งราคาได้สูงกว่าทำให้รายได้เพิ่มและรักษา gross margin ไว้ได้

2. การต่อรองราคาวัตถุดิบกับ supplier ที่เบลเยี่ยม  (เข้าใจว่าเนื่องจากสายสัมพันธ์ที่ค้าขายมานาน)  ทำให้ต้นทุนไม่สูงขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำตอนปี 52 บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้

3. การที่เพชรมีใบ certificated  ของ  HRD ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าสินค้ามีคุณภาพ  และการขายสินค้าต่อก็ทำได้ง่าย  ลูกค้าจะกล้าซื้อ

4. การออก New product ที่โดนใจลูกค้าทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ทันที  ซึ่งส่งผลต่อ inventory  turnover ที่เร็วขึ้น  ทำให้เพิ่มยอดขายได้จากจำนวนรอบ  เงินไม่จมอยู่ใน inventory  มากนัก  รวมถึงการขยันทำ Sale event

(ปล. ขยายความข้อ 4 - ปกติแล้วพวกค้าปลีกทั่วไปมักจะมี  gross  profit margin และ net profit margin ไม่สูง  แต่อาศัย turnover rate ที่สูงเพื่อเพิ่มยอดขายทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้น – พูดง่ายๆคือ  กำไรไม่เยอะเน้นขายได้เยอะๆไว้ก่อน

 แต่กรณียูบิลลี่เป็นร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าราคาแพง การเน้น gross profit margin สูงๆ  จะเป็นจุดเด่นของร้านค้าปลีกของกลุ่มสินค้าราคาแพง  - พูดง่ายๆคือ ขายเรื่อยๆแต่กำไรดีมาก  ...ซึ่งการที่ยูบิลลี่เน้นการเพิ่ม turnover ของ inventory  ยิ่งทำให้ดีขึ้นไปอีก)

5.  กระแสเงินสดดีมาก  เนื่องจากสินค้าส่วนใหญขายเป็นเงินสด (ลูกค้ารายบุคคล)  แต่เวลารับสินค้าจาก supplier  มาผลิตได้เป็น  credit-เจ้าหนี้การค้า  โดยมีระยะเวลา  credit term 90-120 วัน  แต่การผลิตสินค้าใช้เวลาเพียง  30-60 วัน  จึงมีช่องว่างในการขายเพื่อนำเงินไปจ่าย credit 

การที่กระแสเงินสดดีทำให้  มีเงินสดมากและนำไปลงทุนต่อได้  เช่น การขยายสาขา  หรือนำเงินจ่ายคืนผู้ถือหุ้นได้  (บ.จ่าย 60 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิครับ)

6. จำนวนสาขาทิ้งห่างอันดับ 2 ที่เป็นเคาเตอร์เพชรแบบเดียวกันค่อนข้างมาก

จุดอ่อน

1.การแข่งขันสูงมาก  - ข้อนี้สำคัญที่สุด!!! ในช่วงแรกที่ผมยังชะลอการลงทุนอยู่เพราะการแข่งขันสูงในตลาดเพชร  มีผู้เล่นมากมายในวงการอัญณีและเครื่องประดับเพชร  ซึ่งบริษัทที่อยู่นอกตลาดจะได้ประโยชน์กว่าในการปลอมบัญชีให้มีกำไรสุทธิ น้อยๆเพื่อเสียภาษีให้น้อย  แต่จริงจะได้กำไรมากกว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องเปิดเผยตัวเลข ทุกอย่างต่อสาธารณชน

ดังนั้นถ้าเป็นการแข่งขันด้านราคา  บริษัทจะเสียเปรียบมาก

ซึ่งการสร้าง brand จะเข้ามาปิดจุดอ่อนนี้

2. อัตราการซื้อซ้ำไม่สูง – เพชรจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย  เราคงไม่ได้ซื้อเพชรทุกวันหรือทุกเดือน  ไม่เหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ตลอด  ดังนั้นอัตราการซื้อซ้ำจะไม่สูง  คนที่ซื้อซ้ำบ่อยๆส่วนใหญ่จะเป็นคนมีฐานะหรือคนที่ชอบเพชรมากจริงๆ  (จริงๆผู้หญิงก็ชอบเพชรเกือบทุกคน)

อัตราการซื้อซ้ำอยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งการสร้าง brand  ที่ดีจะทำให้ลูกค้าภักดีต่อ brand เดิม ถ้ามีการซื้อซ้ำโอกาสซื้อกับเจ้าเดิมมีสูง

3. ธุรกิจเก่า – ธุรกิจเพชร  อัญมณีจัดว่าเป็นธุรกิจโบราณที่มีมานาน  อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวมจะไม่สูงเมื่อเทียบกับธุรกิจใหม่ๆ

การบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันจะทำให้แย่ง  market share ซึ่งส่งผลให้เติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม

โอกาส

1. ทองราคาสูงขึ้น  คนหันมาซื้อเพชรมากขึ้น  โดยคนมองเป็นการลงทุนจากเดิมมองแต่ว่าเป็นเครื่องประดับ  และสินค้าเพชรไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา 

2. การเข้าตลาดของ  Jubile  ทำให้คนรู้จัก brand  มากขึ้น และขายได้มากขึ้น  เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนก็มีแต่คนมีฐานะดี  จึงเป็นการโฆษณาไปโดยปริยาย  รวมถึงการที่คุณอัญ  CFO คนสวยของบริษัททายาทรุ่นที่ 4  เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักลงทุนยิ่งเป็นการโฆษณ brand ได้เป็นอย่างดี

3. ค่าเงินบาทแข็งจะทำให้ต้นทุนสินค้า  เพชรที่นำเข้าเมื่อคิดเป็นเงินบาทราคาถูกลง  ต้นทุนจะลดลงและกำไรเพิ่มขึ้น

ความเสี่ยง

1. การถูกขโมย  ถูกปล้น  เนื่องจากสินค้าชิ้นเล็กและมีราคาแพงมาก – จุดนี้ Jubile จะมีการทำประกันสินค้าไว้

2. การที่วัตถุดิบขึ้นราคาเนื่องจากมีความต้องการเพชรในตลาดโลกสูงขึ้น  ต้นทุนเพชรจะสูงขึ้นและกำไรลดลงในที่สุด – จุดนี้ Jubile รับมือโดยต่อรองกับ supplier ที่เบลเยียมได้  รวมถึงการสร้าง brand ที่ทำให้ตั้งราคาขายได้สูง

3. การประเมินราคา inventory ที่ค่อนข้าง subjective – ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือของธรรมาภิบาลผู้บริหาร

4. ความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน  - ค่าเงินผันผวนจะทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้  ซึ่งบริษัทใช้วิธีแก้โดยทำ  forward contact  ค่าเงิน  แต่ช่วงที่เงินบาทแข็งก็ปล่อยให้แข็งค่าไป

5. กระทบได้ง่ายมากถ้าเศรษฐกิจโดยรวมมีปัญหา  เพราะเพชรเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจะเป็นสินค้าที่คนจะหยุดซื้อเพื่อประหยัดก่อนสินค้าอื่น

ROOM OF GROWTH

มี 2 สมมุติฐาน
1. โตได้แต่ในประเทศ
2. สามารถขยายออกไปต่างประเทศได้

สรุป...หุ้น Jubile มี 3 คุณสมบัติของหุ้น growth  ที่ผมชอบคือ 1. Growth story  โตได้ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี  2. มีความสามารถในการแข่งขัน  (DCA) – (กรณีนี้คือไม่ใช่ low competition) 3. Good cash flow

ลองอ่านบทความ  แนวทางการลงทุนของผม (ทั้ง 3 ตอน)  และเพดานของการเติบโตไปด้วยจะเข้าใจมากขึ้นครับ

วิเคราะห์ให้ฟังเท่านี้ก่อนละกันครับ  ฝึกเยอะๆนะครับจะได้เก่งๆครับ